เมนู

. . . มีไถยจิตลดภาระที่คอลงสู่สะเอว . . . พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
3. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง นำทรัพย์ของผู้อื่นไป มีไถยจิต
จับต้องภาระที่สะเอวแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
. . . มีไถยจิตยังภาระที่สะเอวให้ไหว . . . พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
. . .มีไถยจิตลดภาระที่สะเอวลงถือด้วยมือ. . . พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
4. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง นำทรัพย์ของผู้อื่นไป มีไถยจิต
วางภาระในมือลงบนพื้นแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
5. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง นำทรัพย์ของผู้อื่นไป มีไถยจิต
หยิบทรัพย์นั้นขึ้นจากพื้นดินแล้ว ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิก
แล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.

เรื่องตอบตามคำถามนำ 5 เรื่อง


[132] 1. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งผึ่งจีวรไว้กลางแจ้งแล้ว
เข้าไปสู่วิหาร ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้เก็บไว้ด้วยคิดว่า จีวรนี้ อย่าหายเสียเลย
ภิกษุเจ้าของออกมา ถามภิกษุรูปนั้นว่า อาวุโส จีวรของผม ใครลักไป ภิกษุ

นั้นตอบอย่างนี้ว่า ผมลักไป ภิกษุเจ้าของยึดถือภิกษุนั้นว่าไม่เป็นสมณะ เธอ
ได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ เธอคิดอย่างไร.
ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า ตอบตามคำถามนำ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุ ไม่เป็นอาบัติ เพราะตอบตามคำถามนำ.
2. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งพาดจีวรไว้บนตั่ง แล้วเข้าไปสู่
วิหาร ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้เก็บไว้ด้วยคิดว่า จีวรนี้ อย่าหายเสียเลย ภิกษุเจ้าของ
ออกมา ถามภิกษุนั้นว่า อาวุโส จีวรของผม ใครลักไป ภิกษุนั้นตอบอย่างนี้
ว่า ผมลักไป ภิกษุเจ้าของยึดถือภิกษุนั้นว่าไม่เป็นสมณะ เธอได้มีความ
รังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ เธอคิดอย่างไร.
ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า ตอบตามคำถามนำ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุ ไม่เป็นอาบัติ เพราะตอบตามคำถามนำ.
3. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งพาดผ้านิสีทนะไว้บนตั่ง แล้วเข้า
ไปสู่วิหาร ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้เก็บไว้ด้วยคิดว่า ผ้านิสีทนะนี้ อย่าหายเสียเลย
ภิกษุเจ้าของออกมา ถามภิกษุนั้นว่า อาวุโส ผ้านิสีทนะของผม ใครลักไป
ภิกษุนั้นตอบอย่างนี้ว่า ผมลักไป ภิกษุเจ้าของยึดถือภิกษุนั้นว่าไม่เป็นสมณะ
เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ เธอคิดอย่างไร.
ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า ตอบตามคำถามนำ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุ ไม่เป็นอาบัติ เพราะตอบตามคำถามนำ.

4. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งวางบาตรไว้ใต้ตั่ง แล้วเข้าไปสู่
วิหาร ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้เก็บไว้ด้วยคิดว่าบาตรนี้ อย่าหายเสียเลยภิกษุเจ้าของ
ออกมา ถามภิกษุนั้นว่า อาวุโส บาตรของผมใครลักไป ภิกษุนั้นตอบอย่างนี้ว่า
ผมลักไป ภิกษุเจ้าของยึดถือภิกษุนั้นว่าไม่เป็นสมณะ เธอได้มีความรังเกียจว่า
เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ๆ ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ เธอคิดอย่างไร.
ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า ตอบตามคำถามนำ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุ ไม่เป็นอาบัติ เพราะตอบตามคำถามนำ.
5. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีรูปหนึ่งผึ่งจีวรไว้ที่รั้วแล้วเข้าไปสู่วิหาร
ภิกษุณีอีกรูปหนึ่งเก็บไว้ด้วยว่า จีวรนี้ อย่าหายเสียเลย ภิกษุณีผู้เป็นเจ้าของ
ออกมา ถามภิกษุณีนั้นว่า แม่เจ้า จีวรของดิฉันใครลักไป ภิกษุณีนั้นตอบ
อย่างนี้ว่า ดิฉันลักไป ภิกษุณีเจ้าของยึดถือภิกษุณีนั้นว่าไม่เป็นสมณะ เธอได้มี
ความรังเกียจ จึงแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ๆ แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลาย ๆ
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่
เป็นอาบัติ เพราะตอบตามคำถามนำ.

เรื่องลม 2 เรื่อง


[133] 1. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเห็นผ้าสาฎกถูกลมบ้าหมู
พัดหอบไป จึงเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่าจักให้แก่เจ้าของ เจ้าของโจทภิกษุนั้นว่าไม่
เป็นสมณะ เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ เธอคิด
อย่างไร.